When you point one finger, there are three fingers pointing back at you.

--

ไม่แปลกที่ในบางครั้ง มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่เราตั้งใจ บางสิ่งที่ไม่เป็นใจนั้น ทำให้เราหงุดหงิด หรืออาจจะถึงขั้นโมโหโกรธา เราต้องการหาใครสักคนเป็นแพะรับบาป คนที่เราจะ blame มารับความผิดนั้นไป แต่หากคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เราเองก็อาจจะมีส่วนผิด หรือเราเองก็อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดผลอันไม่เป็นที่พึงประสงค์นั้นเช่นกัน

มีสุภาษิตภาษาอังกฤษหนึ่งที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

“When you point one finger, there are three fingers pointing back at you.”

“ขณะที่คุณกำลังชี้นิ้ว โบ้ยความผิดไปให้คนอื่น อย่าลืมว่ายังมีอีกสามนิ้ว ชี้กลับมาที่ตัวคุณ”

ในชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานเป็นทีม มันย่อมมีโอกาสที่จะขัดแย้ง กระทบกระทั่งกันไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะทีมที่ทำเรื่องใหม่ๆ เรื่องที่ไม่ใช่งาน routine ก็จะพบว่าโอกาสที่จะเจอความล้มเหลว เจอข้อผิดพลาด มันย่อมมากกว่าความสำเร็จอยู่แล้ว หากทีมงานมัวแต่ชี้นิ้วกล่าวโทษกันไปมา ทีมนั้นก็คงไปไม่รอดกันแน่แท้

ชีวิตจริง เราอาจจะไม่ได้ชี้นิ้วออกอากาศ แต่บางทีเราก็อาจจะมีแอบคิดในใจ ก็เพราะมึงนั่นแหละ งานมันถึงไม่ไปไหน โปรเจ็คท์เราถึงเฟล ก็เพราะเจ้านายไม่เข้าใจผม ไม่เปิดโอกาส ผมก็เลยไปไม่ถึงไหน เพราะลูกน้องทำงานช้า งานมันก็เลยเสร็จตามเป้าที่ตั้งไว้ blah blah blah มีทุกเพราะ แต่ไม่มีเพราะกู

ใช้สุภาษิตนี้ เตือนใจเราว่า นิ้วชี้ที่ชี้ออกไปนั้น เป็นเพียงแค่นิ้วชี้นิ้วเดียว แต่กลาง นาง ก้อย มันชี้กลับมาที่เรา จะได้พิจารณาว่า เฮ้ย จริงๆ เราก็มีส่วนกับความผิดพลาดนั้นหรือเปล่า หรือเรานิ่งเฉยดูดาย ทั้งๆ ที่ปัญหากำลังจะเกิดขึ้นหรือเปล่า

ทุกครั้งที่เรา blame คนอื่น เราเสียอะไรบ้าง?

1. เราเสียโอกาสในการเรียนรู้ เพราะหากคิดว่าเป็นความผิดของคนอื่น เราก็จะปล่อยผ่าน และช่างมัน แต่หากคิดได้ ว่าเราก็มีส่วนในความผิดพลาดนั้น เราจะได้เก็บเอามาปรับปรุงแก้ไข ทำให้ตัวเราเองดีขึ้นกว่าเดิม

2. เสียความสัมพันธ์ที่ดี ครั้นเมื่อเรา blame และโบ้ยความผิดไปให้คนอื่นแล้ว ตัวเราเองก็จะมีความรู้สึกกับคนๆ นั้นที่เปลี่ยนไป ไม่สนิทใจเหมือนเดิม และหากคนที่เรา blame ทราบว่าเราไปพูดไม่ดีลับหลัง ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก

จริงๆ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องในที่ทำงาน สุภาษิตนี้ใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เพื่อนฝูง ชีวิตส่วนตัวอื่นๆ ของเราเอง ก็อาจจะมีโอกาสที่ทำให้เราเผลอคิด โบ้ยความผิดไปให้คนอื่นได้เสมอ ให้สุภาษิตนี้เตือนใจเรา หนึ่งนิ้วที่ชี้ออกไปนั้น มีอีกสามนิ้ว ที่ชี้กลับมาที่ตัวเราเอง

#KnowledgeSpiral

--

--

Niran Banleurat

Business model enthusiast. Business model and customers insights workshop facilitator. Corporate entrepreneur. Business writer. Gamer. etc.